ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (UEFA CHAMPIONS LEAGUE) จัดการแข่งขันขึ้นตั้งแต่ปี 1955 โดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) หรือชื่อเดิม คือ ยูโรเปี้ยน คัพ (European Cup) นำทีมที่คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกในแต่ละประเทศมาแข่งขันเพื่อหาจ้าวยุโรปก่อนในปี 1992 จะเปลี่ยนชื่อเป็น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน และได้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขัน โดยให้โควตาแต่ละลีก ขึ้นอยู่กับค่าสัมประสิทธิ์ของแต่ละประเทศ หรือเรียกง่ายๆ คือผลงานในการแข่งขันฟุตบอลในรายการยุโรป (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ยูฟ่า ยูโรปาลีก, ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ลีก) ซึ่งปัจจุบัน โควตาของแต่ละลีกมีดังนี้ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ, บุนเดสลีกา เยอรมัน, ลาลีกา สเปน, กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ได้โควตา 4 ทีม ส่วนลีกเอิง ฝรั่งเศส ได้โควตา 2+1 ทีม หรืออันดับ 1 อันดับ 2 ของลีกเข้ารอบแบ่งกลุ่มอัตโนมัติและทีมอันดับ 3 ต้องไปเตะเพลย์ออฟเพื่อเข้ารอบแบ่งกลุ่ม และในปี 2021-22 ยังได้ยกเลิกกฎประตูทีมเยือนในรายการของยูฟ่าทั้งหมดอีกด้วย
ย้อนไป ฤดูกาล 1998-99 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ระหว่าง บาเยิร์น มิวนิค พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนาม คัมป์ นู เพียงแค่ 6 นาทีแรกของเกม บาเยิร์น มิวนิคได้ประตูขึ้นนำแมนฯ ยูไนเต็ด 1-0 จากการทำประตูของ มาริโอ บาสเลอร์ จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดเกมแลกกันอย่างสนุก จนถึง 90 นาที เกมนี้ทำท่าจะจบลงด้วยชัยชนะของบาเยิร์น มิวนิค แต่ทว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ยอมแพ้ ได้สร้างปาฏิหาริย์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ตามตีเสมอ 1-1 ในเวลาที่ 90+1 จาก เท็ดดี้ เชอริงแฮม อีก 2 นาทีต่อมา แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ประตูชัย จาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ในนาทีที่ 90+3 พลิกกลับมาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ในฤดูกาล 2004-05 ของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก การเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศของลิเวอร์พูล นั้นต้องผ่านอุปสรรคมากมายตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม โดยมาได้ประตูสำคัญช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม พลิกกลับมาชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ทำให้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีม สุดท้าย ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ต้องโคจรมาพบกัน ปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน ยอมทีมแกร่งจากอิตาลี นำทัพโดย สุดยอดกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ โดยรูปเกมในครึ่งแรกนั้น เป็นทางด้านเอซี มิลาน ที่ไล่ต้อนยอดทีมจากอังกฤษ ไปแบบหมดสภาพ นำห่างถึง 3-0 แต่ครึ่งหลังเริ่มขึ้นมากลับมากลายเป็นหนังคนละม้วน ลิเวอร์พูลพลิกเกมจากตาม 3-0 มาตีเสมอ 3-3 จบเกม 90 นาที และ 120 นาที ผลเสมอ 3-3 ต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ และเป็นทางด้านลิเวอร์พูลที่ชนะการดวลจุดโทษไป 3-2 พลิกนรกกลับมาคว้าแชมป์ได้อย่างเหลือเชื่อ
จาก ยูโรเปี้ยนคัพ สู่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ณ ปัจจุบัน ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด คือจ้าวของยุโรธ นั้นเพราะเป็นทีมที่คว้าแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในช่วง 10 ปีหลังสุด เรอัล มาดริด คว้าแชมป์ได้ถึง 5 สมัยและนี้คือทำเนียบแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมกับยูโรเปี้ยนคัพเดิมด้วย
เรอัล มาดริด : 14 สมัย : 1955-56, 1956-57, 1957-58, 1958-59, 1959-60,1965-66, 1997-98, 1999-00, 2001-02, 2013-14, 2015-16, 2016-17, 2017-18, 2021-22
เอซี มิลาน : 7 สมัย : 1962-63, 1968-69, 1988-89, 1989-90, 1993-94, 2002-03, 2006-07
บาเยิร์น มิวนิค : 6 สมัย : 1973-74, 1974-75, 1975-76, 2000-01, 2012-13, 2019-20
ลิเวอร์พูล : 6 สมัย : 1976-77, 1977-78, 1980-81, 1983-84, 2004-05, 2018-19
บาร์เซโลน่า : 5 สมัย : 1991-92, 2005-06, 2008-09, 2010-11, 2014-15
อาแจ็กซ์ : 4 สมัย : 1970-71, 1971-72, 1972-73, 1994-95
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 3 สมัย : 1967-68, 1998-99, 2007-08
อินเตอร์ มิลาน : 3 สมัย : 1964-65, 1965-66, 2009-10
ยูเวนตุส : 2 สมัย : 1984-85, 1995-96
เชลซี : 2 สมัย : 2011-12, 2020-21
เบนฟิกา : 2 สมัย : 1960-61, 1961-62
เอฟซี ปอร์โต้ : 2 สมัย : 1986-87, 2003-04
น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ : 2 สมัย : 1978-79, 1979-80
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ : 1 สมัย : 1996-97
โอลิมปิก มาร์กเซย : 1 สมัย : 1992-93
กลาสโกว์ เซลติก : 1 สมัย : 1966-67
พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น : 1 สมัย : 1987-88
เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม : 1 สมัย : 1969-70
แอสตัน วิลลา : 1 สมัย : 1981-82
เรด สตาร์ เบลเกรด : 1 สมัย : 1990-91
ฮัมบูร์ก เอสเฟา : 1 สมัย : 1982-83
สเตอัว บูคาเรสต์ : 1 สมัย : 1985-86
คริสเตียโน โรนัลโด้ : 140 ประตู
ลิโอเนล เมสซี่ : 129 ประตู
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ : 91 ประตู
คาริม เบนเซมา : 86 ประตู
ราอูล กอนซาเลซ : 71 ประตู
คริสเตียโน โรนัลโด้ : 183 นัด
อิเกร์ กาซิยาส : 177 นัด
ลิโอเนล เมสซี่ : 162 นัด
ชาบี เอร์นันเดซ : 151 นัด
คาริม เบนเซมา : 147 นัด