ประวัติ เอล กลาซิโก้ (EL CLASICO) และสถิติน่าสนใจ


เป็นการฟาดแข้งกันของ 2 มหาอำนาจลูกหนังแดนกระทิงดุ ระหว่าง แคว้นกาสตีย่า ราชันชุดขาว เรอัล มาดริด กับ แคว้นกาตาลุนย่า เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า โดยทั้ง 2 ทีม เป็นคู่อริกันมาอย่างยาวนาน จนถูกขนานนามการพบกันของ 2 ยอดทีมนี้ว่าศึก เอลกลาซิโก้ มันเป็นมากกว่าการแข่งขันฟุตบอล มันเป็นมากกว่าศักดิ์ศรี แต่มันรวมไปถึงชาติกำเนิด ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี การเมือง ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมากกับทั้ง 2 สโมสร

จุดเริ่มต้นความขัดแย้งของ 2 สโมสร

ในยุคมืดของนายพลฟรานซิสโก้ ฟรังโก้ ผู้นำจอมเผด็จการของสเปนในเวลานั้น ที่จุดประกายความเดือดดานให้กับฟุตบอลคู่นี้ นั้นก็เพราะ ในปี 1936 โฆเชป ซูโยล ที่ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรบาร์เซโลน่าในขณะนั้น ได้ถูกลอบสังหาร โดยลูกน้องในกองทัพของนายพลฟรังโก้ และได้แต่งตัวคนสนิทเข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่ของบาร์เซโลน่า เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมดของชาวกาตาลุนย่า จากนั้นบาร์เซโลน่าถูกบังคับให้เปลี่ยนชื่อสโมสรให้เป็นภาษาสเปน Club de Futbal Barcelona รวมทั้งเอาธงคาตาลุนเนียออกจากสัญญาลักษณ์ของสโมสรอีกด้วย นายพลฟรังโก้ คิดที่จะร่วมรวมแคว้นทุกแคว้นใน สเปนให้เป็นหนึ่งเดียว โดยจะสร้างดินแดนสวรรค์ที่แคว้นกาสตีย่า โดยนายพลฟรังโก้ พยายามประกาศความเป็นสเปนผ่านกีฬาฟุตบอล แต่ด้วยวิธีที่ผิด โดยการละเมิดสิทธิต่างๆ ห้ามใช้ธงประจำแคว้น และห้ามพูดภาษาท้องถิ่น ทำให้แคว้นที่มีความเป็นชาตินิยมสูงอย่าง แคว้นกาตาลุนย่า ได้พยายามต่อสู้มาโดยตลอด และทางด้านนายพลฟรังโก้ ได้ประกาศจุดยืนชัดเจน ว่าเขาจะสนับสนุน เรอัล มาดริด ที่เป็นทีมจากเมืองหลวงและเป็นคู่อริกับฝั่งบาร์เซโลน่านับตั้งแต่นั้นมา

แมตช์การแข่งขันที่อัปยศที่สุด

เป็นเกมรอบรองชนะเลิศ ในศึกโคปาเดลเรย์ ในปี 1943 เกมแรกเล่นที่บาร์เซโลน่า และเป็นฝั่งเจ้าบ้านไล่ย้ำใส่ เรอัล มาดริด ไป 3-0 จากนั้นเกมที่ 2 บาร์เซโลน่า ต้องออกไปเยือน เอสตาดิโอ ชามาร์ริน สนามเก่าของเรอัล มาดริด เกมนี้เป็นฝั่งเจ้าถิ่นที่ไล่ถล่มยับ 11-1 โดยมีอิทธิพลของการเมืองเข้ามาแสร้ง ทำให้การแข่งขันในครั้งนี้เรียกได้ว่าโกงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะนั้น เรอัล มาดริด ได้จารึกแมตช์อัปยศ ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ด้านจอห์น บาริว ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ของบาร์เซโลน่า ได้เปิดเผยกับ GOAT.COM ว่า เรอัล มาดริด ไม่เคยภาคภูมิใจกับผลการแข่งขันครั้งนั้นเลย เพราะแท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เกมการแข่งขันฟุตบอล มันได้รับการจดจำว่าเป็นเกมอัปยศ เรอัล มาดริด ไม่เคยโอ้อวยผลการแข่งขันนี้ เพราะมันคือความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุดที่ถูกซ่อนไว้ในยุคมืดของสเปน

การเซ็นสัญญานักเตะที่ถูกแทรกแซง

ในปี 1953 เกิดการเซ็นสัญญานักเตะอย่าง อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ที่ทางบาร์เซโลน่าได้บรรลุข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว และทางฟีฟ่าได้อนุมัติการย้ายทีมครั้งนี้ เมื่อนายพลฟรังโก้ทราบข่าว ได้สั่งการให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลสเปนโดยออกกฎห้ามซื้อนักเตะต่างชาติเข้าร่วมทีม เพื่อสกัดกั้นการย้ายทีมของอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ทำให้บาร์เซโลน่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก จนสโมสรและแฟนบอลรวมตัวกันออกมาประท้วงสหพันธ์ฟุตบอลสเปน ที่เข้ามาแทรกแซงการเซ็นสัญานักเตะอย่างมาเป็นธรรม โดยทางสหพันธ์ฟุตบอลสเปนแก้ปัญหาด้วยการให้ บาร์เซโลน่าและเรอัล มาดริด คว้าตัว ดิ สเตฟาโน่ ร่วมกันในระยะสัญญา 4 ปี แต่เล่นให้กับเรอัล มาดริด 2 ปีแรก และบาร์เซโลน่า 2 ปีหลัง ทำให้มาร์ตี้ การ์เรตโต้ ประธานสโมสรบาร์เซโลน่าในเวลานั้น ประกาศลาออกจากการกระทำของสหพันธ์ฟุตบอลสเปนและเรอัล มาดริด หลังจากนั้นบาร์เซโลน่ายอมสละสิทธิ์ในตัวของ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ด้วยศักดิ์ศรีของสโมสร เนื่องจากรับไม่ได้จากการกระทำดังกล่าว

การเซ็นสัญญาคว้าตัวข้ามฝั่งโดยตรงของทั้ง 2 ทีม

จากบรรดาผู้เล่นมากมายของทั้ง 2 ทีม มีเพียงไม่กี่คนที่ฝั่งบาร์เซโลน่า จะเซ็นนักเตะของเรอัล มาดริด เข้าสู่ทีมนั้นก็คือ หลุยส์ เอ็นริเก้ โดยเขาเลือกที่จะไม่ต่อสัญญาใหม่กับทัพราชันชุดขาว และเลือกย้ายไปอยู่ฝั่งเจ้าบุญทุ่มแบบฟรีๆ ส่วนทางด้านเรอัล มาดริด พร้อมจะแย่งตัวนักเตะของบาร์เซโลน่ามาร่วมทัพอยู่แล้วทั้ง หลุยส์ มิลล่า ฮาเวียร์ ซาวิโอล่า ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป แบรนด์ ชูสเตอร์ ชื่อดังกล่าวที่พูดมาบางคนอาจจะไม่ลงรอยกับผู้จัดการทีมและไม่ต่อสัญญา แต่มี 1 คน ที่แฟนบาร์เซโลน่าเกลียดเข้าไส้นั้นคือ หลุยส์ ฟิโก้ ฝั่งเรอัล มาดริด ทุ่มเงินกว่า 62 ล้านยูโร ฉีกสัญญาของฟิโก้ ในเวลานั้นเขาคอตัวหลักของทีม บาร์ซ่า ไม่ต้องการปล่อยเขาออกจากทีม แต่เป็นตัวของหลุยส์ ฟิโก้ ที่ต้องการย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริดมากกว่า ทำให้แฟนบอลของเจ้าบุญทุ่มเกลียดฟิโก้เป็นอย่างมาก ครั้งนึงในเกม “เอล กลาซิโก” มีแฟนบอลเจ้าถิ่นโยนหัวหมูลงมาในสนามขณะที่เขากำลังเตะมุมให้กกลับทีมเยือน เปรียบเสมือนการด่าของแฟนบอลที่เขาทรยศต่อสโมสรแห่งนี้

สถิติการพบกันของทั้ง 2 ทีม

การแข่งขันทั้งหมด 288 นัด

นัดเป็นทางการ 254 นัด

นัดกระชับมิตร 34 นัด

เรอัลมาดริด ชนะ 106 เสมอ 62 แพ้ 120

บาร์เซโลน่า ชนะ 120 เสมอ 62 แพ้ 106

นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดในศึก เอล กลาซิโก้

ลิโอเนล เมสซี่  24 ประตู

อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ 18 ประตู

คริสเตียโน โรนัลโด้ 17 ประตู

ราอูล กอนซาเลซ 15 ประตู

นักเตะที่ลงสนามมากที่สุดในศึก เอล กลาซิโก้

เซร์คิโอ บุสเกตส์ 48 นัด

ลิโอเนล เมสซี่   45 นัด

เซร์คิโอ รามอส 45 นัด